อ่านอีกรอบจาก เลขากฤษฎีกา "บิ๊กอ้วน"ไม่มีอำนาจ"ยุบสภา"

เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นตำแหน่ง คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะพ้นตำแหน่งไปทั้งคณะด้วย ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 167 (1) อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 168 (1) กำหนดว่า ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ภายใต้เงื่อนไขว่า กรณีพ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (1) ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ถ้าเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) หรือ (5) นายกรัฐมนตรีจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้
หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทางนี้ จะนำไปสู่ความเป็นไปได้ของฉากทัศน์ทางการเมืองอยู่ 2 แนวทางหลัก คือ




1) ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี อาจเลือก “ยุบสภา” เปิดทางให้มีการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ดี ประเด็นอำนาจยุบสภาของรักษาการนายกรัฐมนตรี ยังมีข้อถกเถียงอยู่ว่าทำได้หรือทำไม่ได้
ฝ่ายที่มองว่าทำได้ มีอำนาจเต็มเท่านายกรัฐมนตรี เช่น วิษณุ เครืองาม อมร วาณิชวิวัฒน์ อดีตโฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยฝ่ายกฎหมาย
ฝ่ายที่มองว่าทำไม่ได้ ไม่มีอำนาจ เช่น ที่ปรึกษากฎหมายของรัฐอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกา ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการฯ เคยแจ้งต่อที่ประชุม ครม. เมื่อ 3 กรกฎาคม 2568 ว่า จากการศึกษาข้อมูลทางวิชาการของกฤษฎีกา มีความเห็นว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่สามารถยุบสภาได้ เพราะรัฐธรรมนูญไทยยึดโยงมาจากอังกฤษ
นอกจากความเห็นของปกรณ์ เมื่อพิจารณาตาม พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 48 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพระราชบัญญัตินี้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน” ซึ่งอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลตามกฎหมายดังกล่าว เช่น กำกับบริหารราชการแผ่นดิน โยกย้ายข้าราชการจากกระทรวงหรือกรมหนึ่ง ไปดำรงตำแหน่งในอีกกระทรวงหรืออีกกรม บังคับบัญชาข้าราชการฝ่ายบริหารทุกตำแหน่งซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการ รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจหน้าที่ตามขอบข่ายของกฎพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญกำหนด ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด และมีลำดับชั้นทางกฎหมายสูงกว่าพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน และการยุบสภายังเป็นอำนาจทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอำนาจ เป็นการถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสภาผู้แทนราษฎร กล่าวคือ นายกรัฐมนตรีที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาเท่านั้นจึงจะมีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร
หากฉากทัศน์ออกมาทาง “ยุบสภา” คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน แต่ต้องไม่เกิน 60 วัน นับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาใช้บังคับ (รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 103)
2) สภาผู้แทนราษฎรจะต้อง เลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โดยเลือกจากแคนดิเดตในบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอไว้ในการเลือกตั้งทั่วไปเท่านั้น โดยใช้เพียงเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เลือกนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องใช้เสียงสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอีกเหมือนกรณี เศรษฐา ทวีสินที่ศาลฯ มีคำวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เนื่องจากขาดคุณสมบัติ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากปมทูลเกล้าฯ แต่งตั้งพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีทั้งที่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล
ขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 มีดังนี้
1) พรรคการเมืองที่มี สส. ในสภา ไม่น้อยกว่า 5% (25 คน) สามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเคยแจ้งไว้ในการเลือกตั้งทั่วไป ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 88 กำหนดให้พรรคการเมืองส่งบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ไม่เกิน 3 ชื่อ
การเสนอชื่อผู้สมควรได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องเสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 และจะต้องมี สส. รับรองด้วยจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งใน 10 ของ สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร จากข้อมูล ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2568 มี สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ 492 คน ดังนั้นจำนวนผู้รับรองในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 จะอยู่ที่ 50 คน
2) สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี จากผู้ได้รับการเสนอชื่อ โดยขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีจะทำโดยเปิดเผย กล่าวคือ ใช้วิธีการเรียกชื่อ สส. แต่ละคนและให้ สส. ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ที่ได้รับเลือก จะต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมี สส. ทั้งหมด 492 คน เท่ากับว่าต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 247 เสียงขึ้นไปจึงจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากสภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือนายกรัฐมนตรีจะต้องนำรายชื่อรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป โดยในขั้นตอนนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้


EmoticonEmoticon