ข่าวด่วน!เมียเก่าหึงโหด กระหน่ำแทงฟันเมียใหม่สุดทารุณกลางทุ่งนา ทิ้งศพนอนสิ้นใจคาที่… ดูเพิ่มเติม!!



เหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นที่ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2568 เวลาประมาณ 11.53 น. เมื่อร้อยตำรวจโท บุญเลิศ เหล็กมา รองสารวัตรสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหล่มสัก ได้รับแจ้งเหตุการณ์สุดระทึกจากชาวบ้านว่ามีผู้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตบริเวณกลางทุ่งนาในหมู่ที่ 1 ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์


หลังจากได้รับแจ้งเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบทันที และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ แพทย์เวรจากโรงพยาบาลหล่มสัก เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดเพชรบูรณ์ และอาสาสมัครจากมูลนิธิร่วมกตัญญูหล่มสัก ร่วมกันเดินทางไปยังที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบและเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นคดีฆาตกรรมที่มีความโหดเหี้ยมและทารุณ จนทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ต่างตกใจและหวาดกลัว


ค้นพบศพผู้เสียชีวิตท่ามกลางทุ่งนา


เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางถึงจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นทุ่งนาที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังหมู่บ้าน พบศพของผู้เสียชีวิตนอนหงายอยู่กลางทุ่ง มีผ้าคลุมอยู่บริเวณศีรษะ สวมถุงมือสีเทาปนดำ นุ่งกางเกงขายาวสีดำ และสวมรองเท้าบู๊ทสีน้ำตาล สภาพของศพบ่งบอกถึงการต่อสู้และการถูกทำร้ายอย่างรุนแรง โดยมีบาดแผลหลายแห่งทั้งที่บริเวณใบหน้า หน้าอก และมือ

จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้เสียชีวิตคือนางพิปรีญา (สงวนนามสกุล) อายุ 54 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลบุ่งคล้า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ที่คนในหมู่บ้านต่างรู้จักดี การค้นพบศพของนางพิปรีญาในสภาพที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณนี้ ทำให้เกิดความสะเทือนใจและความตื่นตระหนกในหมู่ชาวบ้าน


ที่เกิดเหตุยังพบรถจักรยานยนต์สีน้ำเงิน เขียว และขาว ทะเบียน 1 กฌ 1446 เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นของผู้เสียชีวิต จอดอยู่ใกล้กับจุดที่พบศพ นอกจากนี้ยังพบจอบวางอยู่ข้างลำตัวของผู้เสียชีวิต 1 อัน แต่จอบดังกล่าวไม่มีคราบเลือดติดอยู่เลย ซึ่งบ่งชี้ว่าจอบนี้อาจไม่ใช่อาวุธที่ใช้ในการก่อเหตุ


ชันสูตรศพพบบาดแผลสาหัสนับสิบแผล


เมื่อแพทย์ผู้ทำการชันสูตรพลิกศพตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าผู้เสียชีวิตมีบาดแผลมากมายทั่วร่างกาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมและความตั้งใจที่จะทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตของผู้ก่อเหตุ บริเวณใบหน้าพบร่องรอยถูกของมีคมฟันจนเป็นแผลยาวทั้งหมด 4 แผล แผลเหล่านี้มีความลึกและความยาวที่แสดงถึงแรงกระแทกที่รุนแรง


นอกจากนี้ ที่บริเวณดั้งจมูกยังพบร่องรอยการถูกของแข็งทุบจนกระดูกใบหน้ายุบลง ทำให้ใบหน้าเสียรูปอย่างมาก บริเวณท้ายทอยพบบาดแผลจากการถูกของมีคมฟันจนเป็นแผลลึกและยาว ซึ่งบาดแผลแห่งนี้อาจเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิต เนื่องจากอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญ


ที่บริเวณหน้าท้องพบบาดแผลจากการถูกของแหลมแทงทะลุร่างกายทั้งหมด 8 รู ซึ่งบาดแผลเหล่านี้กระจายอยู่ในบริเวณหน้าท้องและอาจทำลายอวัยวะภายในได้ ส่วนที่มือขวาพบร่องรอยถูกของมีคมฟันเป็นแผลเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นบาดแผลที่เกิดจากการพยายามป้องกันตัวเองของผู้เสียชีวิต จากการประเมินของแพทย์ ผู้เสียชีวิตน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง ก่อนที่จะมีการพบเหตุและแจ้งตำรวจ

ปมรักสามเส้าจุดชนวนฆาตกรรมสุดโหด


จากการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเหตุคือนางเกียม (สงวนนามสกุล) อายุ 51 ปี ซึ่งเป็นภรรยาคนเก่าของนายมืด (สงวนนามสกุล) ที่ต่อมาได้มาแต่งงานกับนางพิปรีญา ผู้เสียชีวิต หลังจากก่อเหตุ นางเกียมได้ขี่รถจักรยานยนต์สีขาว เหลือง และดำ ทะเบียน 1 กต 6547 เพชรบูรณ์ หลบหนีออกจากที่เกิดเหตุไปอย่างรวดเร็ว


พี่ชายของผู้เสียชีวิตได้ให้ข้อมูลที่สำคัญกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ในอดีตนางเกียมกับนายมืดได้อยู่กินกันมาเป็นเวลานาน แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้เริ่มมีปัญหาและแตกร้าว จนกระทั่งในช่วงปลายปี 2567 ทั้งสองได้ตัดสินใจเลิกลากัน แม้จะเลิกลากันแล้ว แต่นายมืดก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเดิมของตนเอง และให้นางเกียมอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไป


หลังจากเลิกลากับนางเกียมไม่นาน นายมืดก็ได้เริ่มมีความสัมพันธ์กับนางพิปรีญา ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งได้ตัดสินใจแต่งงานกันเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา บ้านของนางพิปรีญากับบ้านของนางเกียมอยู่ห่างกันเพียงประมาณ 300 เมตรเท่านั้น ซึ่งทำให้ทั้งสองต้องเจอหน้ากันบ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน




ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความตึงเครียด



สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนและตึงเครียดมากขึ้น คือแม้ว่านายมืดจะได้แต่งงานใหม่แล้ว แต่เขายังคงไปช่วยเหลืองานของนางเกียม อดีตภรรยาของเขาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการทำนาข้าว การปลูกยาสูบ การปลูกข้าวโพด และงานในไร่นาอื่นๆ พฤติกรรมเช่นนี้อาจเกิดจากความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรืออาจเป็นเพราะความเคยชินจากการอยู่กินกันมานาน



ในช่วงแรกที่นางพิปรีญาได้แต่งงานกับนายมืด นางเกียมได้แสดงความไม่พอใจและโกรธเคืองอย่างเปิดเผย มีการต่อว่าและกล่าวหาว่านางพิปรีญาแย่งสามีของเธอไป นางเกียมเคยกล่าวคำขู่ว่าจะทำให้นางพิปรีญาตายด้วยซ้ำ แต่ในตอนนั้นคำขู่ดังกล่าวก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามมา ชาวบ้านและคนในครอบครัวคิดว่าอาจเป็นเพียงคำพูดที่พูดออกมาด้วยความโกรธเคืองในขณะนั้น



หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนางเกียมกับนางพิปรีญาดูเหมือนจะสงบลง ไม่มีการทะเลาะวิวาทกันอีก แม้ว่าทั้งสองจะต้องเจอหน้ากันบ่อยครั้ง เนื่องจากอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันและบ้านก็อยู่ไม่ไกลกัน ชาวบ้านและคนในครอบครัวจึงคิดว่าปัญหาได้ผ่านพ้นไปแล้ว และทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันในชุมชนเดียวกันได้โดยไม่มีปัญหา


วันเกิดเหตุและเหตุการณ์สุดสะเทือนขวัญ


ในเช้าวันที่เกิดเหตุ นางพิปรีญาได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ เธอมีแผนจะไปดายหญ้าที่แปลงข้าวโพดที่ปลูกไว้ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3 กิโลเมตร นางพิปรีญาออกเดินทางไปตามลำพังโดยไม่มีใครติดตามไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับชาวนาที่ต้องออกไปทำงานในไร่นาของตนเอง


ไม่นานหลังจากที่นางพิปรีญาออกจากบ้าน พี่ชายของเธอได้รับโทรศัพท์จากชาวบ้านคนหนึ่งที่แจ้งว่าได้เห็นนางเกียมขี่รถจักรยานยนต์ไปหานางพิปรีญาที่แปลงข้าวโพด ผู้ที่โทรศัพท์มาบอกว่าได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างนางเกียมกับนางพิปรีญา เสียงตะโกนและเสียงดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณนั้น


จากนั้นไม่นานเสียงก็เงียบลง เงียบอย่างน่าสะพรึงกลัว และผู้ที่เห็นเหตุการณ์ได้สังเกตเห็นว่านางเกียมขี่รถจักรยานยนต์ออกจากแปลงข้าวโพดอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนรีบหนีจากที่เกิดเหตุ เมื่อพี่ชายของนางพิปรีญาได้รับโทรศัพท์ เขารู้สึกไม่สบายใจและรีบขับรถไปที่แปลงข้าวโพดทันที เพื่อไปดูว่าน้องสาวของเขาเป็นอย่างไร


เมื่อมาถึงแปลงข้าวโพด สิ่งที่พบทำให้พี่ชายของนางพิปรีญาตกใจและสะเทือนใจอย่างมาก เขาพบศพของน้องสาวนอนอยู่กลางทุ่งนา ในสภาพที่ถูกทำร้ายอย่างทารุณ มีบาดแผลเต็มไปทั่วร่างกาย เขารีบโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที และแจ้งข่าวเรื่องนี้ให้กับสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ทราบ


การแสวงหาความยุติธรรมและการล่าตัวผู้ก่อเหตุ


หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบข้อมูลและระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังออกค้นหาตัวนางเกียมในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งในหมู่บ้าน บ้านของญาติพี่น้อง และสถานที่ต่างๆ ที่นางเกียมอาจไปหลบซ่อนตัว แต่จนถึงขณะนั้นยังไม่พบตัวนางเกียม ซึ่งสันนิษฐานว่าอาจหลบหนีออกนอกพื้นที่ไปแล้ว


เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมการเพื่อขอหมายจับจากศาลจังหวัดหล่มสัก โดยมีข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและมีการไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นความผิดสูงสุดในคดีฆาตกรรม เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ เพื่อนำตัวผู้ก่อเหตุมาลงโทษตามกฎหมาย


ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจากสถานีตำรวจภูธรหล่มสักได้นำตัวนายมืด สามีของผู้เสียชีวิต มาสอบสวนเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนางเกียมกับนางพิปรีญา รวมถึงแรงจูงใจที่อาจเป็นสาเหตุของการฆาตกรรมในครั้งนี้ การสอบสวนนายมืดเป็นส่วนสำคัญในการทำความเข้าใจภาพรวมของคดี และอาจช่วยให้ทราบว่ามีเหตุการณ์หรือการกระทำอะไรเกิดขึ้นที่อาจเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดเหตุการณ์สุดโหดครั้งนี้


ชาวบ้านตื่นตระหนกและเรียกร้องความยุติธรรม


ผู้สื่อข่าวที่เดินทางไปยังพื้นที่รายงานว่า เหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในหมู่ชาวบ้านอย่างมาก ชาวบ้านได้จับกลุ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยต่างแสดงความเห็นว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุในครั้งนี้มีความโหดเหี้ยมและทารุณเกินกว่าที่จะยอมรับได้


หลายคนบอกว่าแม้จะทราบว่านางเกียมมีความไม่พอใจกับนางพิปรีญา แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีการกระทำที่รุนแรงถึงขนาดนี้ ชาวบ้านต่างรู้สึกเศร้าสลดใจกับการจากไปของนางพิปรีญา ซึ่งเป็นคนดีและไม่เคยทำร้ายใคร นางพิปรีญาเป็นเพียงแค่คนที่ได้รับความรักจากนายมืด และได้ตัดสินใจแต่งงานกับเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจ


ชาวบ้านร่วมกันเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการจับกุมตัวผู้ก่อเหตุให้ได้โดยเร็วที่สุด และดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด พวกเขาต้องการให้ผู้ก่อเหตุได้รับการลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต และเพื่อให้ความยุติธรรมได้รับการพิสูจน์ในสังคม


บทเรียนจากโศกนาฏกรรมความรัก


คดีฆาตกรรมครั้งนี้เป็นบทเรียนที่สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายของความหึงหวงและความโกรธแค้นที่สะสมมานาน เมื่อความรู้สึกเหล่านี้ไม่ได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่การกระทำที่รุนแรงและไม่สามารถย้อนกลับได้ แม้ว่าการที่คู่รักเลิกลากันและหันไปมีความสัมพันธ์กับคนใหม่จะเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม แต่การยอมรับและปล่อยวางความรู้สึกเหล่านี้กลับเป็นเรื่องที่ยากสำหรับหลายคน


ความหึงหวงที่กลายเป็นความอาฆาตพยาบาทสามารถทำลายชีวิตได้หลายชีวิต ไม่เพียงแต่ผู้ที่ถูกทำร้ายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ก่อเหตุเองที่จะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในความรู้สึกผิดและการถูกลงโทษตามกฎหมาย ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายต่างต้องประสบกับความสูญเสียและความทุกข์ใจที่ยากจะบรรยาย


เหตุการณ์นี้ย้ำเตือนให้สังคมให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของผู้คนในชุมชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะความเครียดจากปัญหาความสัมพันธ์ การมีระบบสนับสนุนและให้คำปรึกษาที่เหมาะสมอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการจัดการอารมณ์และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างสันติ


ในขณะนี้ ครอบครัวของนางพิปรีญากำลังเตรียมการจัดงานศพและพิธีกรรมตามประเพณี ท่ามกลางความโศกเศร้าและความสูญเสียที่ไม่อาจหาคำมาชดเชยได้ พวกเขาหวังเพียงว่าความยุติธรรมจะเกิดขึ้น และผู้ก่อเหตุจะได้รับการลงโทษตามที่สมควร เพื่อให้วิญญาณของนางพิปรีญาได้จากไปอย่างสงบและผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป


EmoticonEmoticon